เมนู

เป็นเครื่องเกิดในกามภพ ในกรรมวัฏเป็นเครื่องเกิดในรูปภพ ในวิปากวัฏ
เป็นเครื่องเกิดในรูปภพ ในกรรมวัฏเป็นเครื่องเกิดในอรูปภพ ใน
วิปากวัฏเป็นเครื่องเกิดในอรูปภพ ในความเกิดบ่อย ๆ ในความไปบ่อย ๆ
ในความเข้าถึงบ่อย ๆ ในปฏิสนธิบ่อย ๆ ในความบังเกิดขึ้นแห่งอัตภาพ
บ่อย ๆ. คำว่า เป็นธีรชน คือเป็นนักปราชญ์ เป็นบัณฑิต มีปัญญา
มีความรู้ มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทำลายกิเลส เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เป็นธีรชน ย่อมไม่ถึงพร้อมในภพน้อยภพใหญ่ เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัสว่า
มุนีนั้นมีปัญญาเครื่องพิจารณา รู้สมณพราหมณ์เหล่า
นั้นว่า. เป็นผู้อันทิฏฐิเข้าไปอาศัย และรู้ว่าเป็นผู้มีทิฏฐิ
เป็นที่อาศัยอยู่ รู้แล้ว พ้นวิเศษแล้ว ย่อมไม่ถึงความ
วาที เป็นธีรชน ย่อมไม่ถึงพร้อมในภพน้อยภพใหญ่
ดังนี้.

จบกลหวิวาทสุตตนิเทสสที่ 11

อรรถกถากลหวิวาทสุตตนิทเทสที่ 11


พึงทราบวินิจฉัยในกลหวิวาทสุตตนิทเทสที่ 11 ดังต่อไปนี้.
บทว่า กุโต ปหูตา กลหวิวาทา ความทะเลาะความวิวาทมีมาแต่
อะไร ได้แก่กิเลสเหล่านี้ คือความทะเลาะและความวิวาทอันเป็นส่วน
เบื้องต้นของความทะเลาะนั้น เกิดมาแต่อะไร. บทว่า ปริเทวโสกา

สหมจฺฉรา จ ความรำพันความโศก ความตระหนี่ เกิดมาแต่อะไร. บทว่า
มานาติมานา สหเปสุณา จ
ความถือตัว ความดูหมิ่น และคำพูดส่อเสียด
เกิดมาแต่อะไร. บทว่า เต ได้แก่ กิเลส 8 อย่างทั้งหมดเหล่านั้น. บทว่า
ตทิงฺฆ พฺรูหิ ขอเชิญพระองค์ตรัสบอกเถิด คือพระพุทธนิมิตทูลว่า
ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอน ขอพระองค์จงตรัสบอกความที่ข้าพระองค์ทูล
ถามนั้นเถิด. บทว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต มีความว่าขอร้อง.
บทว่า เอเกน อากาเรน คือ โดยอาการอย่างเดียวกัน. บทว่า
อปเรน อากาเรน คือ โดยอาการอื่น. บทว่า อาคาริกา ทณฺฑปสุตา1
ผู้ครองเรือนหาโทษใส่กัน คือคหบดีเบียดเบียนกัน. บทว่า ปพฺพชิตา
อาปตฺตึ อาปชฺชนฺตา
คือ บรรพชิตต้องอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในกอง
อาบัติ 7 กอง. บทว่า กุโต ปหูตา คือ มีมาแต่ไหน. บทว่า กุโต ชาตา
เกิดมาแต่ไหน คือได้อัตภาพมาแต่ไหน. เพิ่มอุปสัตไปเป็น กุโต
สญฺชาตา
คือ เกิดพร้อมมาแต่ไหน. บทว่า กุโต นิพฺพตฺตา บังเกิดมา
แต่ไหน คือถึงลักษณะพร้อมที่จะเกิดมาแต่ไหน. เพิ่มอุปสัคลงไปเป็น
กุโต อภินิพฺพตฺตา คือ บังเกิดเฉพาะมาแต่ไหน. บทว่า ปาตุภูตา คือ
ปรากฏมาแต่ไหน. พึงทราบความในบทว่า กึนิทานา มีอะไรเป็นนิทาน
เป็นต้นต่อไปนี้ ชื่อว่า นิทานะ เพราะมอบผลของตน. ชื่อ สมุทยะ
เพราะเป็นเหตุตั้งขึ้นแห่งผล. ชื่อว่า ชาติ เพราะเป็นเหตุเกิดผล. ชื่อว่า
ปภวะ เพราะเป็นแดงเกิดแห่งผล. บทว่า มูลํ ปุจฺฉติ พระพุทธนิมิต
ทูลถานถึงมูลแห่งการทะเลาะ. เพราะการณะชื่อว่า มูละ เพราะเป็นที่ตั้ง.
ชื่อว่า เหตุ เพราะอรรถว่า ปรารถนา คือเป็นไปเพื่อสำเร็จผลแก่ตน.

1. บาลีเป็น รนฺธปสุตา.

ชื่อว่า นิทาน เพราะมอบผลของตนดุจแสดงว่า ขอเชิญท่านรับผลนั้นเถิด.
ชื่อว่า สัมภวะ เพราะเป็นเหตุเกิดแห่งผล. ชื่อว่า ปภวะ เพราะเป็น
แดงเกิดแห่งผล. ชื่อว่า สมุฏฐานะ เพราะเป็นที่เกิดแห่งผล หรือเป็น
เครื่องเกิดแห่งผล. ชื่อว่า อาหาระ เพราะนำมาซึ่งผลของตน. ชื่อว่า
อารัมมณะ เพราะยังผลของตนให้ยินดี. ชื่อว่า ปัจจยะ เพราะไม่ปฏิเสธ
ผลที่เป็นไปเพราะอาศัยสิ่งนั้น. ชื่อว่า สมุทยะ เพราะเป็นเหตุตั้งขึ้น
แห่งผล. เพราะฉะนั้น พึงทราบคำบรรยายแห่งบทเหล่านี้ด้วยประการ
ฉะนี้. พระสังคีติกาจารย์กล่าวแสดงโดยนัยมีอาทิว่า พระพุทธนิมิตทูล
ถามมูลแห่งการทะเลาะและวิวาท หมายถึงสมุทัย เหตุแห่งความทะเลาะ
วิวาทนั้น.
บทว่า ปิยปฺปหูตา คือ เกิดจากวัตถุเป็นที่รัก. บทว่า มจฺเฉรยุตฺตา
กลหาวิวาทา
ความทะเลาะวิวาทประกอบด้วยความตระหนี่ ด้วยบทนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดงถึงความตระหนี่วัตถุ อันเป็นที่รักอย่าง
เดียวเท่านั้น ว่าเป็นเหตุแห่งความทะเลาะวิวาท. พึงทราบว่าธรรมทั้งหมด
เหล่านั้น ท่านกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยหัวข้อกลหวิวาทะ. ความวิวาทเป็นเหตุ
แห่งคำพูดส่อเสียด เหมือนความตระหนี่เป็นเหตุแห่งความวิวาทฉะนั้น.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เมื่อความวิวาทกันเกิดขึ้นแล้ว
คำพูดส่อเสียดก็มี. การชี้แจงคาถานี้มีความง่ายทั้งนั้น.
บทว่า ปิยา สุ โลกสฺมึ กุโตนิทานา เย วาปิ โลภา วิจรนฺติ
โลเก
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลกนี้มีอะไรเป็นเหตุ
และชนเหล่าใดแลย่อมเที่ยวไปในโลกเพราะความโลภ ความว่า สิ่งที่รัก
ทั้งหลายเหล่าใดที่ท่านกล่าวไว้ในบทนี้ว่า ความทะเลาะเกิดแต่สิ่งที่รักดังนี้

สิ่งที่รักทั้งหลายเหล่านั้น ในโลกมีอะไรเป็นเหตุ มิได้กล่าวถึงสิ่งที่รักอย่าง
เดียว แม้กษัตริย์เป็นต้น ยังเที่ยวไปเพราะความโลภ ถูกความโลภครอบงำ
ย่อมเที่ยวไปเพราะความโลภเป็นเหตุ. พระพุทธนิมิตทูลถามสองความ
ด้วยคาถาเดียวว่า ก็ความโลภนั้นของชนเหล่านั้นมีอะไรเป็นเหตุ. อนึ่ง
ในบทว่า กุโตนิทานา นี้ พึงทราบว่า แปลง โต เป็นปฐมาวิภัตติว่า กึนิ-
นิทานา กึเหตุกา.
แต่ในสมาสไม่มีลบ โต นั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
นิทานา แปลว่า เกิดแล้ว ความว่า เกิดขึ้นแล้ว. เพราะฉะนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า กุโตนิทานา จึงมีความว่า เกิดจากอะไร เกิดขึ้นแล้วจากอะไร.
บทว่า อาสา จ นิฏฺฐา จ ได้แก่ ความหวังและความสำเร็จความหวังนั้น.
บทว่า เย สมฺปรายาย นรสฺส โหนฺติ ได้แก่ ความหวังและความสำเร็จ
ความหวังที่มีแก่นรชนเพื่อโลกหน้า ท่านอธิบายว่า เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
นี้เป็นคำถามข้อหนึ่งเท่านั้น.
บทว่า ทีปา โหนฺติ เป็นเกาะ คือเป็นที่พึ่ง. บทว่า สรณา โหนฺติ
เป็นที่ระลึก คือเป็นที่ให้ทุกข์พินาศไป. บทว่า นิฏฺฐาปรายโน โหติ
คือ เป็นผู้มีความสำเร็จเป็นเบื้องหน้า.
บทว่า ฉนฺทานิทานานิ มีฉันทะเป็นนิทาน ได้แก่ มีฉันทะ มีความ
พอใจในกามเป็นต้นเป็นนิทาน. บทว่า เย วาปิ โลภา วิจรนฺติ คือ
ชนเหล่าใดมีกษัตริย์เป็นต้น เที่ยวไปเพราะความโลภ แม้ความโลภของ
ชนเหล่านั้น ก็มีฉันทะเป็นนิทาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แก้ความทั้งสองรวมกัน. บทว่า อิโตนิทานา มีฉันทะที่เป็นนิทานเท่านั้น
ท่านอธิบายว่า มีฉันทะเป็นนิทานอย่างเดียว. เพราะบทว่า อิโตนิทานา

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงฉันทะ. ด้วยว่าความโลภเป็นต้น มีฉันทะ
เป็นนิทาน. อนึ่ง พึงทราบความสำเร็จรูปศัพท์ ในบทว่า อิโตนิทานา
นี้ โดยนัยดังกล่าวแล้ว. ในบทว่า กุโตนิทานา นี้นั่นแล ความสำเร็จ
ด้วยความหวัง ท่านเรียกว่า นิฏฺฐา เพราะเหตุนั้น ความสำเร็จแห่งอัธยาศัย
ท่านกล่าวว่า เป็นการได้เฉพาะ.
บทว่า วินิจฺฉยา ความตัดสินใจ ได้แก่ ตัณหาวินิจฉัย และทิฏฐิ-
วินิจฉัย. บทว่า เย จาปิ ธมฺมา สมเณน วุตฺตา ธรรมเหล่าใดแล อัน
พระสมณะตรัสไว้ คือธรรมแม้อื่นเหล่าใดแล หรืออกุศลธรรมทั้งหลาย
เห็นปานนั้น ประกอบด้วยความโกรธเป็นต้น อันพระพุทธสมณะตรัสไว้
แล้ว ธรรมเหล่านั้นมีมาแต่อะไร.
บทว่า อญฺญชาติกา กิเลสทั้งหลายมีชาติเป็นอย่างอื่น คือมีสภาพ
เป็นอย่างอื่น. บทว่า อญฺญวิหิตกา คือ ตั้งอยู่แล้วโดยการอื่น. บทว่า
สมิตปาเปน ผู้มีบาปอันระงับแล้ว คือมีบาปอันดับแล้ว. บทว่า พาหิต-
ปาปธมฺเมน
มีบาปธรรมอันลอยแล้ว คือมีธรรมอันลามกละได้แล้ว.
บทว่า ภินฺนกิเลสมูเลน มีมูลแห่งกิเลสอันทำลายแล้ว คือตัดรากเหง้า
แห่งกิเลสได้แล้วดำรงอยู่. บทว่า สพฺพากุสลพนฺธนา ปมุตฺเตน ผู้พ้น
ขาดจากอกุศลมูลเป็นเครื่องผูกทั้งปวง คือปล่อยเครื่องผูก คืออกุศลมูล
12 อย่าง แล้วดำรงอยู่. บทว่า วุตฺตา คือ อันพระสมณะตรัสไว้แล้ว.
บทว่า ปวุตฺตา ตรัสโดยทั่ว คือตรัสทุกสิ่งทุกอย่าง.
บทว่า ตมฺปนิสฺสาย ปโหติ ฉนฺโท ฉันทะย่อมมี เพราะอาศัย
ธรรมนั้น คือฉันทะย่อมมี ด้วยความปรารถนาอยู่ร่วมกัน และพรากจาก

กัน เพราะอาศัยความดีใจและความเสียใจ กล่าวคือทั้งสองอย่างนั้น อัน
ได้แก่สุขเวทนาและทุกขเวทนา. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เป็นอันพระพุทธสมณะ
ทรงแก้ปัญหานี้ว่า ฉันทะในโลกมีอะไรเป็นนิทาน. บทว่า รูเปสุ ทิสฺวา
วิภวํ ภวญฺจ
เห็นความไม่มีและความมีในรูปทั้งหลาย คือเห็นความเสื่อม
และความเกิดในรูปทั้งหลาย. บทว่า วินิจฺฉยํ กูรุเต ชนฺตุ โลเก สัตว์
เกิดย่อมทำความตัดสินในโลก คือสัตว์เกิดนี้ย่อมทำความตัดสินด้วยตัณหา
เพื่อให้ได้ลาภ และความตัดสินด้วยทิฏฐิ โดยนัยมีอาทิว่า อัตตาของเรา
เกิดแล้วดังนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ก็เป็นอันพระพุทธสมณะทรงแก้ปัญหา
นี้ว่า แม้ความตัดสินเกิดมาแต่ไหน ดังนี้.
บทว่า สาตาสาตํ นิสฺสาย อาศัยความยินดีและความเสียใจ คือ
ทำอุปนิสัยให้ชุ่มชื่นและร่วงโรย. บทว่า อิฏฺฐานิฏฺฐํ ได้แก่ อารมณ์น่า
ปรารถนา และอารมณ์ไม่น่าปรารถนา. บทว่า สุรา ในบทนี้ว่า สุรา-
เมรยมชฺชปมาทฏฺฐานานุโยคํ
ประกอบเนือง ๆ ในเหตุเป็นที่ตั้งแห่ง
ความประมาทในเพราะการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย สุรามี 5 อย่าง
คือสุราทำด้วยแป้ง 1 สุราทำด้วยขนม 1 สุราทำด้วยข้าวสุก 1 สุราใส่
น้ำเชื้อ 1 สุราผสมด้วยเครื่องปรุง 1. บทว่า เมรยํ ได้แก่ น้ำดอง 5
อย่าง คือน้ำดองดอกไม้ 1 น้ำดองผลไม้ 1 น้ำดองดอกมะซาง 1 น้ำดอง
น้ำอ้อยงบ 1 น้ำดองผสมเครื่องปรุง 1. แม้ทั้งหมดนั้นก็เป็นน้ำเมา ด้วย
ทำผู้อื่นให้เมา. บทว่า ปมาทฏฺฐานํ คือ เป็นเหตุแห่งความประมาท.
บทนี้เป็นชื่อของเจตนาของผู้ที่ดื่มน้ำเมานั้น. บทว่า อนุโยคํ ได้แก่
ประกอบเนือง ๆ ในเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทในเพราะการดื่มน้ำเมา

คือสุราและเมรัยนั้น คือทำบ่อย ๆ. ก็เพราะเมื่อเราประกอบเนือง ๆ ซึ่งเหตุ
เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท โภคสมบัติที่เกิดขึ้นแล้วก็ย่อมเสื่อมไป และที่
ยังไม่เกิดจึงไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น ย่อมรู้ว่าโภคสมบัติของเราย่อมถึงความเสื่อม
สิ้นไป. ในบททั้งปวงก็เหมือนอย่างนี้. บทว่า วิกาลวิสิขาจริยานุโยคํ
ประกอบเนือง ๆ ในการเที่ยวมากไปในถนนในเวลาค่ำคืน คือในเวลาไม่
สมควร. บทว่า สมชฺชาภิจรณํ เที่ยวดูมหรสพบ่อย ๆ คือไปดูมหรสพ
เช่นดูการฟ้อนรำเป็นต้นบ่อยครั้ง. บทว่า อาลสฺสานุโยคํ ประกอบ
เนือง ๆ ในความเป็นคนเกียจคร้าน คือขวนขวายมุ่งแต่อยู่ในความเป็นคน
เกียจคร้าน. บทว่า อปายมุขานิ น เสวติ ไม่เสพทางแห่งความฉิบหาย
คือไม่เสพประตูแห่งความฉิบหายแห่งโภคสมบัติทั้งหลาย . บทว่า กสิยา วา
คือ ด้วยกสิกรรมบ้าง. บทว่า วณิชฺชาย วา คือ ด้วยพาณิชยกรรมอันเป็น
ธรรมบ้าง. บทว่า โครกฺเขน วา ด้วยโครักขกรรม คือการเลี้ยงโคบ้าง.
บทว่า อิสฺสตฺเถน วา คือ ด้วยธนะศิลป์บ้าง. บทว่า ราชโรปริเสน วา
คือ ด้วยรับราชการบ้าง. บทว่า สิปฺปญฺญตเรน วา คือ ด้วยศิลปะอย่างใด
อย่างหนึ่ง ในบรรดาศิลปะ มีช่างทำหม้อเป็นต้น. บทว่า ปฏิปชฺชติ
คือ ประกอบการงาน. บทว่า จกฺขุสฺมึ อุปฺปนฺเน ชานาติ คือ เมื่อจักษุ
เกิดขึ้น สัตว์ก็รู้ คือยึดถือทิฏฐิว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นแล้ว. บทว่า
จกฺขุสฺมึ อนฺตรหิเต คือ เมื่อจักษุนั้นหายไป. บทว่า อตฺตา เม อนฺตรหิโต
อัตตาของเราหายไปแล้ว คือยึดถือทิฏฐิว่า อัตตาของเราหายไปแล้ว.
บทว่า วิคโต เม อตฺตา คือ อัตตาของเราล่วงไปแล้ว. แม้ในบทมี
อาทิว่า โสตสฺมึ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า เอเตปิ ธมฺมา ทฺวยเมว สนฺเต ธรรมแม้เหล่านี้ เมื่อ
ความดีใจและความเสียใจทั้งสองมีอยู่ คือธรรมมีความโกรธเป็นต้นเหล่านี้
เมื่อความดีใจและความเสียใจทั้งสองมีอยู่ ก็มีมา คือเกิดขึ้น. ด้วยเหตุ
เพียงนี้ก็เป็นอันพระพุทธสมณะทรงแก้แม้ปัญหาข้อที่ 3 แล้ว. พระพุทธ-
สมณะเมื่อจะทรงแสดงถึงอุบายละความสงสัย ของผู้ที่ยังมีความสงสัยใน
ปัญหาที่พระองค์แก้แล้วอย่างนี้ จึงตรัสว่า กถํกถี ญาณปถาย สิกฺเข
ผู้มีความสงสัยพึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ ดังนี้. ท่านอธิบายไว้ว่า พึง
ศึกษาสิกขา 3 เพื่อบรรลุญาณคือญาณทัสสนะ. เพราะเหตุไร. เพราะ
ธรรมอันพระสมณะทราบแล้ว จึงตรัสไว้ คือเพราะว่าพระพุทธสมณะทรงรู้
ธรรมทั้งหลายแล้วจึงตรัสไว้. ความไม่รู้ในธรรมทั้งหลายมิได้มีแก่พระสมณะ
นั้น แต่บุคคลผู้มีความสงสัยไม่รู้ธรรมเหล่านั้น เพราะความที่ตนไม่มีญาณ
ก็ไม่พึงรู้ คือไม่พึงรู้ด้วยโทษแห่งการแสดงก็หาไม่ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า
ผู้สงสัยพึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ เพราะธรรมอันพระสมณะทรงรู้แล้ว
จึงตรัสไว้.
บทว่า ปกฺเขปพนฺธเนน วา พนฺโธ คือ ถูกเขาจำด้วยการขังไว้ใน
เรือนจำ. บทว่า ปริกฺเขปพนฺธเนน วา พนฺโธ ถูกเขาจำด้วยเครื่องจำ
คือล้อมรั้ว. ในบทมีอาทิว่า คามพนฺธเนน ด้วยเครื่องจำคือบ้าน
มีอธิบายว่า เมื่อไม่ได้เพื่อจะออกไปจากที่นั้น ๆ ก็ชื่อว่าถูกเขาจำด้วย
เครื่องจำคือบ้านเป็นต้น.
บทว่า ตสฺส พนฺธนสฺส โมกฺขตฺถาย คือ เพื่อพ้นจากเครื่องจำ
ดังที่กล่าวแล้วนั้น.
บทว่า ญาณมฺปิ ญาณปโถ แม้ญาณ ก็ชื่อว่าทางแห่งญาณ คือ
ญาณที่เกิดขึ้นก่อนเป็นสื่อของญาณที่เกิดต่อ ๆ มา เพราะเหตุนั้นแม้ญาณ

ก็เป็นทางแห่งญาณ. บทว่า ณาณสฺส อารมฺมณมฺปิ ญาณปโล แม้อารมณ์
แห่งญาณ ก็ชื่อว่าเป็นทางแห่งญาณ คือแม้ปัจจัยแห่งญาณ ก็ชื่อว่าเป็นทาง
แห่งญาณ เพราะหน่วงอารมณ์นั้นแล้วเกิดขึ้น. บทว่า ญาณสหภูโนปิ
ธมฺมา ญาณปโถ
แม้ธรรมทั้งหลายอันเกิดร่วมกับญาณ ก็ชื่อว่าทาง
แห่งญาณ คือแม้ธรรมทั้งหลายที่เป็นจิตเจตสิกอันเหลือ เกิดร่วมกับญาณ
ก็เป็นทางแห่งญาณ. บัดนี้ พระพุทธสมณะเมื่อจะทรงให้แจ่มแจ้งด้วย
อุปมา จึงตรัสว่า ยถา อริยมคฺโค อริยปโถ เปรียบเหมือนอริยมรรค
ก็ชื่อว่าทางแห่งอริยะ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า กถํกถี ปุคฺคโล คือ บุคคลผู้มีความสงสัย. บทว่า สกงฺโข
คือ มีความเคลือบแคลง. บทว่า สวิเลโข มีความลังเล คือมีความขัดแย้ง
ในจิต. บทว่า สเทฺวฬฺหโก เป็นสองทาง คือกังขาอยู่. บทว่า สริจิกิจฺโฉ
คือ ไม่แน่ใจ. บทว่า ญาณาธิคมาย คือ เพื่อได้ญาณ. บทว่า ญาณทสฺส-
นาย
เพื่อเห็นญาณ คือเพื่อแทงตลอดญาณ. อีกอย่างหนึ่งเพื่อประสบญาณ.
บทว่า ญาณสจฺฉิกิริยาย คือ เพื่อทำให้แจ่มแจ้งซึ่งญาณ.
บทว่า สนิทานาหํ เราแสดงธรรมมีเหตุ คือเรา (พระพุทธสมณะ)
แสดงธรรมมีเหตุมีปัจจัย. บทว่า สปฺปาฏิหาริยํ เราแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
คือนำสัตว์ให้พ้นทุกข์. บทว่า โน อปฺปาฏิหาริยํ เราไม่แสดงธรรมไม่มี
ปาฏิหาริย์ คือแสดงธรรมไม่ทำให้สัตว์พ้นจากทุกข์.
บทว่า สาตาสาตํ ในบทว่า สาตํ อสาตญฺจ กุโตนิทานา ความ
ดีใจและความเสียใจมีอะไรเป็นนิทาน นี้ท่านประสงค์เอาสุขเวทนาและ
ทุกขเวทนานั่นเอง. บทว่า น ภวนฺติ เหเต คือ ความดีใจและเสียใจ
เหล่านั้นย่อมไม่มี. บทว่า วิภวํ ภวญฺจาปิ ยเมตมตฺถํ เอตมฺเม ปพฺรูหิ

ยโตนิทานํ ความว่า อรรถนั้นใด คือความไม่มีและความมีแห่งความ
ดีใจและความเสียใจ ขอพระองค์จงตรัสบอกอรรถนั้นว่า มีสิ่งใดเป็น
นิทานแก่ข้าพระองค์ ในบทนี้ เปลี่ยนรูปลิงค์. ควรจะเป็นดังที่ท่าน
อธิบายไว้ว่า สาตาสาตานํ วิภโว ภโว จาติ โย เอส อตฺโถ เอตมฺมํ
ปพฺรูหิ.
ความอย่างเดียวกับที่กล่าวแล้ว. ในบทว่า ยโตนิทานํ นี้ พึงทราบ
โดยอรรถว่า ความไม่มีและความมี คือความเห็นว่าไม่มีและมีนั่นเอง
อันเป็นวัตถุแห่งความดีใจและความเสียใจ. เป็นความจริงดังนั้นในฝ่าย
แก้ปัญหานี้ แม้ความเห็นว่ามี ก็มีผัสสะเป็นนิทาน แม้ความเห็นว่าไม่มี
ก็มีผัสสะเป็นนิทาน เพราะเหตุนั้น จักกล่าวในนิเทศต่อไป. ในนิเทศ
แห่งคาถานี้ไม่มีข้อที่ควรกล่าว.
บทว่า อิโตนิทานํ คือ มีผัสสะเป็นนิทาน. บทว่า กิสฺมึ วิภูเต
น ผุสนฺติ ผสฺสา
เมื่ออะไรไม่มีผัสสะจึงไม่ถูกต้อง คือเมื่ออะไรล่วงไปแล้ว
ผัสสะ 5 มีจักษุสัมผัสเป็นต้น จึงไม่ถูกต้อง แม้คาถานี้ก็ไม่มีอะไรควรกล่าว.
บทว่า นามญฺจ รูปญฺจ ปฏิจฺจ ผัสสะเกิดขึ้นเพราะอาศัยนาม
และรูป คือเพราะอาศัยนามที่ประกอบกัน และรูปคือวัตถุเป็นอารมณ์.
บทว่า รูเป วิภูเต น ผุสนฺติ ผสฺสา เมื่อรูปไม่มี ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง
คือเมื่อรูปล่วงแล้ว ผัสสะ 5 จึงไม่ถูกต้อง.
บทว่า ติณฺณํ สงฺคติ ผสฺโส ประชุมธรรม 3 ประการ ผัสสะ
จึงเกิดขึ้น. คือผัสสะย่อมเกิดขึ้นเพราะประชุมธรรม 3 ประการ คือจักษุ
รูปและวิญญาณ. บทว่า จกฺขุญฺจ รูปา จ รูปสฺมึ จักษุรูป ในส่วนรูป
คือ ประสาทจักษุ รูปารมณ์ อารมณ์ตั้งไว้ในส่วนรูป. บทว่า จกฺขุสมฺผสฺสํ
ฐเปตฺวา
เว้นจักษุสัมผัส คือปล่อยผัสสะอันเกิดขึ้นเพราะประชุมธรรม

3 ประการ. บทว่า สมฺปยุตฺตกา ธมฺมา นามสฺมึ สัมปยุตธรรมในส่วน
นาม ธรรมในส่วนนามเกิดพร้อมกับผัสสะ มีเวทนาเป็นต้นที่เหลือ.
แม้ในบทว่า โสตญฺจ ปฏิจฺจ อาศัยหูเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า จตูหิ การเณหิ รูปํ วิภูตํ โหติ คือ รูปล่วงไปด้วยเหตุ 4 อย่าง
(โดยการรู้ โดยการพิจารณา โดยการละ โดยการก้าวล่วง). บทว่า
ญาตวิภูเตน โดยการรู้ คือทำให้ปรากฏแล้วก้าวล่วง. บทว่า ตีรณวิภูเตน
โดยการพิจารณา คือพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แล้ว
ก้าวล่วง. บทว่า ปหานวิภูเตน โดยการละ คือโดยการล่วงไป เพราะ
ละฉันทราคะ. บทว่า สมติกฺกมวิภูเตน โดยการก้าวล่วง คือโดยการ
ก้าวล่วงด้วยสามารถการได้อรูปสมาบัติ 4.
บทว่า กถํ สเมตสฺส คือ ปฏิบัติอย่างไร. บทว่า วิโภติ รูปํ รูปจึง
ไม่มี หรือไม่พึงมี. บทว่า สุขํ ทุกฺขํ วา ความว่า พระพุทธนิมิตทูลถาม
ถึงรูปที่น่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนานั่นเอง.
บทว่า ชาเนยฺยาม คือ จักรู้. บทว่า อาชาเนยฺยาม คือ จักรู้ทั่ว
ถึง. บทว่า วิชาเนยฺยาม คือ จักรู้แจ้งหลาย ๆ อย่าง. บทว่า ปฏิวิชา-
เนยฺยาม
จักรู้แจ่มเเจ้ง คือจักรู้โดยชอบ. บทว่า ปฏิวิชฺเฌยฺยาม จัก
แทงตลอด คือจักตรัสรู้ด้วยจิต.
บทว่า น สญฺญสญฺญี บุคคลไม่เป็นผู้มีสัญญา โดยสัญญาปกติ
คือบุคคลนั้นไม่เป็นผู้มีสัญญาโดยสัญญาปกติ เมื่อบุคคลปฏิบัติอย่างนี้ รูป
จึงไม่มี. บทว่า น วิสญฺญสญฺญญ บุคคลไม่เป็นผู้มีสัญญาโดยสัญญาผิดปกติ
คือไม่เป็นผู้มีสัญญาโดยสัญญาผิดปกติ แม้ไม่มีสัญญา ได้แก่คนบ้าหรือคน
มีจิตฟุ้งซ่าน. บทว่า โนปิ อสญฺญี ไม่เป็นผู้ไม่มีสัญญา คือแม้เว้นจาก

สัญญาก็ไม่ใช่. ได้แก่ ท่านผู้เข้านิโรธ หรือสัตว์ไม่มีสัญญา. บทว่า
วิภูตสญฺญี
ไม่เป็นผู้ปราศจากสัญญา คือไม่เป็นผู้มีสัญญาก้าวล่วงแล้ว
โดยนัยมีอาทิว่า สพฺพโส รูปสญฺญานํ แห่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
คือได้อรูปฌาน. บทว่า เอวํ สเมตสฺส วิโภติ รูปํ เมื่อปฏิบัติอย่างนี้รูปจึง
ไม่มี คือบุคคลนั้นเมื่อจิตตั้งมั่นแล้วอย่างนี้ ไม่ตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีสัญญา
โดยสัญญานี้แล้ว ฯลฯ ย่อมนำจิตที่ท่านกล่าวไว้แล้วนั้นไป เพื่อได้
อากาสานัญจายตนสมาบัติ เพราะเหตุนั้นเมื่อบุคคลปฏิบัติอย่างนี้ คือมีความ
พร้อมในอรูปมรรค รูปจึงไม่มี. บทว่า สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขา
เพราะส่วนแห่งธรรมที่เนิ่นช้ามีสัญญาเป็นนิทาน ท่านแสดงไว้ว่า แม้เมื่อ
บุคคลปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ธรรมที่เนิ่นช้ามีตัณหาเป็นต้น อันมีสัญญานั้น
เป็นนิทานเป็นอันยังละไม่ได้เลย.
บทว่า อสญฺญฺโน วุจฺจนฺติ นิโรธสมาปนฺนา ผู้เข้านิโรธท่านเรียกว่า
เป็นผู้ไม่มีสัญญา คือผู้เข้านิโรธเพราะดับสัญญาและเวทนา ท่านกล่าวว่า
เป็นผู้ไม่มีสัญญา เพราะสัญญาไม่มี. บทว่า อสญฺญสตฺตา เป็นอสัญญีสัตว์
คือเกิดในอสัญญีภพ เพราะไม่มีสัญญาโดยประการทั้งปวง. บทว่า โส ใน
บทนั้นว่า โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ได้แก่ ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่อย่าง
นี้. บทว่า เอวํ นี้ แสดงถึงการก้าวไปสู่จตุตถฌาน. อธิบายว่า ได้จตุตถฌาน
ตามลำดับนี้. บทว่า สมาหิเต คือ จิตเป็นสมาธิด้วยสมาธิในจตุตถฌานนี้.
อนึ่ง ในบทว่า ปริสุทฺเธ เป็นต้น ได้แก่ จิตบริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์
แห่งอุเบกขาและสติ. ชื่อว่าจิตผุดผ่อง เพราะเป็นจิตบริสุทธิ์นั้นเอง.
อธิบายว่า ผ่องใส. ชื่อว่าจิตไม่มีกิเลส เพราะกิเลสมีราคะเป็นต้น ถูก
กำจัดออกไปด้วยการทำลายปัจจัยมีสุขเวทนาเป็นต้น ชื่อว่าจิตปราศจาก

อุปกิเลส เพราะไม่มีกิเลสนั่นเอง. จิตเศร้าหมองด้วยกิเลส ชื่อว่าจิตอ่อน
เพราะอบรมดีแล้ว. อธิบายว่า จิตถึงความชำนาญ. เพราะจิตเป็นไปใน
อำนาจ จึงเรียกว่าจิตอ่อน. ชื่อว่าจิตควรแก่การงานเพราะจิตอ่อนนั่นเอง
ท่านอธิบายว่า ควรแก่การงาน เหมาะแก่การงาน. เพราะว่าจิตอ่อน
เป็นจิตที่ควรแก่การงาน เหมือนทองคำบริสุทธิ์. แม้จิตทั้งสองอย่างนั้น
ก็เป็นจิตที่อบรมดีแล้วนั่นเอง. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างเดียว เหมือนจิตที่อบรม
แล้วทำให้มากแล้วเป็นจิตอ่อนควรแก่การงานนี้เลย.
ในบรรดาจิตเหล่านั้นชื่อว่าจิตตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นอยู่ในความบริสุทธิ์
เป็นต้น. ชื่อว่าจิตถึงความไม่หวั่นไหว เพราะเป็นจิตตั้งมั่นนั่นเอง. อธิบาย
ว่าไม่หวั่น ไม่ไหว. อีกอย่างหนึ่งชื่อว่าจิตตั้งมั่น เพราะตั้งอยู่ในอำนาจของ
ตนโดยความเป็นจิตอ่อนและควรแก่การงาน. ชื่อว่าจิตถึงความไม่หวั่นไหว
เพราะกำหนดไว้ด้วยศรัทธาเป็นต้น. จริงอยู่ จิตที่กำหนดไว้ด้วยศรัทธา
ย่อมไม่หวั่น เพราะความไม่เชื่อ. จิตที่กำหนดไว้ด้วยความเพียรย่อมไม่
หวั่นไหว เพราะความเกียจคร้าน. จิตที่กำหนดไว้ด้วยสติย่อมไม่หวั่นไหว
เพราะความประมาท. จิตที่กำหนดไว้ด้วยสมาธิย่อมไม่หวั่นไหว เพราะ
ความฟุ้งซ่าน. จิตที่กำหนดไว้ด้วยปัญญาย่อมไม่หวั่นไหว เพราะอวิชชา
จิตที่กำหนดไว้ด้วยแสงสว่าง ย่อมไม่หวั่นไหว เพราะความมืดคือกิเลส
เป็นอันว่าจิตถึงความไม่หวั่นไหว กำหนดแล้วด้วยธรรม 6 ประการเหล่านั้น
จิตประกอบด้วยองค์ 8 เป็นจิตควรแก่อภินิหาร (อำนาจบุญกุศล) เพราะ
ได้อากาสานัญจายตนสมาบัติ.
อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่าจิตมีสมาธิ เพราะมีสมาธิในจตุตถฌาน. ชื่อว่า

จิตบริสุทธิ์ เพราะไกลจากนิวรณ์. ชื่อว่าจิตผ่องแผ้ว เพราะก้าวล่วงวิตก
เป็นต้น. ชื่อว่าจิตไม่มีกิเลส เพราะไม่มีความเคลื่อนไหวไปในความ
ปรารถนาลามกอันเป็นข้าศึกแก่การได้ฌาน. บทว่า อิจฺฉาวจรานํ มีอธิบาย
ว่า เคลื่อนไปในความปรารถนา คือหยั่งลงเป็นไปด้วยอำนาจความ
ปรารถนาเป็นปัจจัยแห่งความโกรธมีประการต่าง ๆ. อนึ่ง ชื่อว่าจิตปราศ-
จากอุปกิเลส เพราะปราศจากอุปกิเลสแห่งจิตมีอภิชฌาเป็นต้น. พึงทราบ
แม้ทั้งสองอย่างนั้นโดยทำนองเดียวกันกับอนังคณสูตรและวัตถุสูตร. ชื่อว่า
จิตอ่อน เพราะถึงความชำนาญ. ชื่อว่าจิตควรแก่การงาน เพราะเข้าถึง
อิทธิบาท. ชื่อว่าจิตตั้งมั่นถึงความไม่หวั่นไหว เพราะเข้าถึงความประณีต
ด้วยการบำเพ็ญภาวนาให้บริบูรณ์. อธิบายว่า จิตตั้งมั่นโดยอาการที่จิต
ไม่มีความหวั่นไหว ไม่ถึงความหวั่นไหว. จิตประกอบด้วยองค์ 8 อย่างนี้
เป็นจิตควรแก่อภินิหาร เป็นบาท คือเป็นปทัฏฐานเพื่อได้อากาสานัญจา-
ยตนสมาบัติ.
บทว่า อรูปมคฺคสมงฺคี เป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรมเป็นทางแห่ง
อรูปสมาบัติ คือเป็นผู้ไม่เสื่อมจากธรรมเป็นทางให้ถึงอรูปสมาบัติ. บทว่า
ปปญฺจาเยว ปปญฺจสงฺขา ได้แก่ ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้ามีตัณหาเป็นต้น
ชื่อว่า ธรรมเป็นส่วนแห่งความเนิ่นช้า.
บทว่า เอตฺตาวตคฺคํ โน ฯลฯ วทนฺติ เอตฺโต ก็สมณพราหมณ์
บางพวกอ้างคนเป็นบัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวความหมดจดแห่งยักษ์
ด้วยอรูปสมาบัติเพียงเท่านี้ หรือว่าเป็นธรรมอันเลิศ หรือว่าสมณพราหมณ์
บางพวกกล่าวความหมดจดอย่างอื่นกว่าอรูปสมาบัตินี้ คือพระพุทธนิมิต
ทูลถามว่า สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวความหมดจด

ของสัตว์ด้วยอรูปสมาบัติเพียงเท่านี้ หรือว่าเป็นธรรมอันเลิศ หรือว่ากล่าว
ความหมดจดแม้อย่างอื่นยิ่งกว่าอรูปสมาบัตินี้. บทว่า เอตฺโต อรูปสมา-
ปตฺติโต
คือ กว่าอรูปสมาบัตินี้.
บทว่า เอตฺตาวตฺคฺคมฺปิ วทนฺติ เหเก คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ตอบว่า สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง บางพวกสำคัญคนว่าเป็นบัณฑิต
ย่อมกล่าวความหมดจดแห่งยักษ์ด้วยอรูปสมาบัติเพียงเท่านี้ว่า เป็นธรรม
อันเลิศ. บทว่า เตสํ ปุเนเก สมยํ วทนฺติ คือ บรรดาสมณพราหมณ์
เหล่านั้น สมณพราหมณ์อีกบางพวก มีวาทะว่าสูญย่อมกล่าวความสงบว่า
เป็นความสูญ. บทว่า อนุปาทิเสเส กุสลาวทานา คือ สมณพราหมณ์
อ้างตนว่าเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวความสงบในอนุปาทิเสส.
บทว่า ภวตชฺชิตา กลัวต่อภพ. บทว่า วิภวํ อภินนฺทนฺติ ย่อมยินดี
ความไม่มีภพ คือยินดีเพราะอาศัยความขาดสูญ. บทว่า เตสตฺตสฺส สมํ
สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมกล่าวถึงความสงบแห่งสัตว์ คือสมณพราหมณ์
เหล่านั้นผู้มีวาทะว่าสูญ ย่อมกล่าวถึงความสงบ คือความไม่เกิดของบุคคล.
บทว่า อุปสมํ ความเข้าไปสงบ คือความสงบอย่างยิ่ง. บทว่า วูปสมํ
ความเงียบ คือสันติ. บทว่า นิโรธํ ความดับ คือความไม่เกิด. บทว่า
ปฏิปสฺสทฺธํ ความระงับ คือไม่เกิดอีกต่อไป.
บทว่า เอเต จ ญตฺวา อุปนิสฺสิตา มุนีรู้สมณพราหมณ์นั้นว่า
เป็นผู้อันทิฏฐิเข้าไปอาศัย คือรู้ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้มีทิฏฐิ
อาศัยสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ. บทว่า ญตฺวา มุนิ นิสฺสเย โส วิมํสี
มุนีนั้นมีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา รู้ว่าสมณพราหมณ์เป็นผู้มีทิฏฐิเป็นที่
อาศัย คือมุนีนั้นเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา เป็นบัณฑิต เป็นพระ-

พุทธมุนี รู้ว่าสมณพราหมณ์เป็นผู้มีทิฏฐิเป็นที่อาศัย. บทว่า ญตฺวา
วิมุตฺโต
รู้แล้ว พ้นวิเศษแล้ว คือรู้ธรรมทั้งหลายโดยความเป็นทุกข์และ
ไม่เที่ยงเป็นต้น แล้วพ้นวิเศษ. บทว่า ภวาภวาย น สเมติ ไม่ถึง
พร้อมในภพน้อยภพใหญ่ คือไม่ถึงพร้อมด้วยการเกิดบ่อย ๆ. บทว่า
อปรามสํ ความว่า ภิกษุนั้นมิได้ถือมั่น คือไม่ถึงความถือมั่น.
จบอรรถกถากลหวิวาทสุตตนิทเทสที่ 11

จูฬวิยูหสุตตนิเทสที่ 12


[520] (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) มีสมณพราหมณ์บางพวก
มีความอยู่รอบในทิฏฐิของตน ๆ ถือทิฏฐินั้นแล้ว อ้างตน
เป็นผู้ฉลาดพูดต่าง ๆ ว่า บุคคลใดรู้อย่างนี้ บุคคลนั้นชื่อ
ว่ารู้ธรรมแล้ว บุคคลใดคัดค้านธรรมนี้ บุคคลนั้นชื่อว่ายัง
เป็นผู้ไม่บริบูรณ์หรือ.


ว่าด้วยทิฏฐิ


[521] คำว่า มีความอยู่รอบในทิฏฐิของตน ๆ ความว่า มี
สมณพราหมณ์บางพวกผู้ดำเนินไปด้วยทิฏฐิ สมณพราหมณ์บางพวกนั้น
ถือ ยึดถือ จับต้อง ถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งทิฏฐิ 62 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
ชื่อว่าย่อมอยู่ อยู่ร่วม มาอยู่ อยู่รอบในทิฏฐิของตน ๆ เปรียบเหมือน
พวกคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน ชื่อว่าย่อมอยู่ในเรือน หรือพวกบรรพชิต
ผู้มีอาบัติ ชื่อว่าย่อมอยู่ในอาบัติ หรือพวกมีกิเลส ชื่อว่าย่อมอยู่ในกิเลส
ฉะนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีความอยู่รอบในทิฏฐิของตนๆ.
[522] คำว่า ถือ ในคำว่า ถือทิฏฐินั้นแล้ว อ้างตนเป็นผู้ฉลาด
พูดต่าง ๆ
ความว่า ถือ ยึดถือ จับต้อง ถือมั่น ยึดมั่น. คำว่า พูดต่าง ๆ
ความว่า พูดไปต่าง ๆ พูดมีอย่างต่าง ๆ พูดอย่างอื่น ๆ พูดมาก ไม่พูด
ไม่กล่าว ไม่บอก ไม่แสดง ไม่แถลงอย่างเดียว. คำว่า อ้างตนเป็นผู้
ฉลาด
ความว่า อ้างตนเป็นผู้ฉลาด อ้างตนเป็นบัณฑิต อ้างตนเป็นธีรชน
อ้างตนเป็นผู้มีญาณ อ้างตนโดยเหตุ อ้างตนโดยลักษณะ อ้างตนโดย